หนึ่งในปัจจัยหลักของการ ซื้อบ้าน คงหนีไม่พ้น เรื่องเงินแน่นอน เพราะการซื้อบ้านจำเป็นต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก จึงต้องมีการ วางแผน บริหาร จัดการ ศึกษาหาข้อมูลให้รอบคอบเสียก่อน
นอกจากค่า ซื้อบ้าน แล้ว มีค่าใช้จ่ายอะไรต้องเสียอีกบ้าง ถ้าคุณกำลังออมเงิน แต่เก็บเงินไม่อยู่ วิธีนี้จะช่วยให้การเงินเก็บของคุณไม่ยากอีกต่อไป เพียงแค่คุณเริ่มเก็บเงินตั้งแต่วันแรกที่ได้รับเงินเดือน โดยหักเก็บก่อนใช้ ประมาน 20-30% ของรายได้ต่อเดือน ซึ่งหลายคนใช้ก่อนแล้วค่อยออม จึงทำให้เก็บเงินไม่อยู่ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณมีรายได้ต่อเดือน 30,000 บาท ให้หักเก็บ 20% เท่ากับ 6,000 บาท ก่อนใช้ทุกครั้ง ฝึกจนติดเป็นนิสัยการออม เพราะ ยิ่งออมเยอะ ยิ่งมั่นคง ยิ่งสบาย
วันนี้ อบรมนายหน้าอสังหา มี 3 ขั้นตอนง่ายๆ ที่ช่วยวางแผนตั้งแต่เริ่มออมไปจนถึงเริ่มโอนที่คนซื้อบ้านต้องรู้
1.ศึกษาหาข้อมูลโครงการที่สนใจ นอกจากตัวบ้านแล้ว จะต้องดูไปถึงเรื่องสภาพแวดล้อม การเดินทาง แหล่งสถานที่สำคัญโดยรอบ และประเมินราคาบ้าน ให้เหมาะสมกับรายได้ของตัวเอง
2.ควรมีเงินออมประมาณ 20-30% ของราคาซื้อบ้าน แน่นอนว่า ในระหว่างขั้นตอนการซื้อบ้าน จะมีค่าใช้จ่าย อื่นๆ เข้ามาแทรก อย่างเช่น ค่าส่วนกลาง ค่าติดต้องไฟฟ้า น้ำประปา ที่ต้องจ่ายล่วงหน้า เพื่อใช้จ่ายในการซื้อบ้าน และเป็นข้อมูลที่ธนาคารใช้พิจารณาเครดิตของคนขอสินเชื่อบ้าน
3.ประเมินกำลังการกู้สินเชื่อ ให้เหมาะสมกับราคาบ้าน ไม่ให้มากเกินกำลังผ่อนของตัวเอง โดยธนาคารส่วนใหญ่จะอนุมัติกู้ให้โดยประมาน 70 – 90%
7 ขั้นตอนในการซื้อบ้าน และค่าใช้จ่ายที่จำเป็น เมื่อได้โครงการที่ถูกใจแล้ว ก็เริ่มทำสัญญากันได้เลย
1.ค่าจองบ้าน
เป็นสัญญาแรกที่เกิดขึ้น เป็นสัญญาที่ยืนยันสิทธิว่าผู้ซื้อได้ทำการจองบ้านไว้แล้ว ผู้ขายไม่สามารถขายให้คนอื่นได้ จนกว่าจะเลยเวลาที่ผู้ซื้อกับผู้ขายได้ตกลงกันไว้ ซึ่งทางโครงการจะกำหนดจำนวนเงินจอง แต่ส่วนใหญเป็นอยู่ที่ประมาณ 2-3% ของราคาบ้าน เช่น บ้านราคา 3,000,000 บาท จอง 2% เท่ากับต้องจ่ายค่าจองจำนวน 60,000 บาท เป็นต้น
2.สัญญาจะซื้อจะขาย
เมื่อทำการจองไว้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการทำสัญญาจะซื้อขาย เพื่อเป็นหลักฐานและสร้างความมั่นใจให้กับทั้ง 2 ฝ่าย โดยในสัญญาจะระบุเรื่องข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย โดยผู้ซื้อมีหน้าที่จ่ายเงินตามสัญญา เมื่อครบกำหนดผู้ขายมีหน้าที่โอนกรรมสิทธิ์บ้าน ตามสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้
3.เงินดาวน์
เมื่อทำสัญญาแล้วจะมีค่าเงินดาวน์ โดยผู้ซื้อ จะต้องมีเงินดาวน์ 5%,10% หรือ 20% ของราคาบ้าน ดังนั้น หากจะซื้อบ้านในราคา 3,000,000 บาท แล้วดาวน์ 10% จะเท่ากับต้องใช้เงินดาวน์ 300,000 บาท
4.ยื่นกู้
สำหรับผู้ที่ไม่มีเงินก้อน จะต้องเข้าไปยื่นเรื่องขอกู้กับธนาคาร โดยให้กู้กับธนาคารที่อัตราดอกเบี้ยคงที่ หรือลอยตัว โดยราคาผ่อนจ่ายจะเฉลี่ยอยู่ที่กู้ 1,000,000 บาท ผ่อนประมาณ 7,000 บาท ต่อเดือน
5.ค่าจดจำนอง
ในกรณีที่ซื้อบ้านด้วยเงินสดจะไม่ต้องเสียค่าจดจำนอง แต่สำหรับผู้ที่ยื่นกู้ จะต้องเตรียมค่าใช้จ่าย 1% ของราคาบ้าน + ค่าอากรแสตมป์
6.โอนกรรมสิทธิ์
หลังจากที่ธนาคารอนุมัติวงเงินกู้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการโอนกรรมสิทธิ์ โดย ค่าโอนกรรมสิทธิ์จะอยู่ที่ 2% ของราคาบ้าน เช่น ราคาประเมิณ 1,000,000 บาท ค่าธรรมเนียมในการโอนจะอยู่ที่ 20,000 บาท
7.ค่าส่วนกลาง
จะคิดตามตารางวา (ส่วนคอนโดมิเนียม จะคิดตามตารางเมตร) ซึ่งราคาจะขึ้นอยู่กับข้อตกลงของโครงการ โดยเงินส่วนกลางนี้จะเอาไปจัดสรรดูแล และซ่อมบำรุงภายในโครงการต่างๆ อย่างเช่น จ้าง รปภ. ติดกล้องวงจรปิด ค่าทำความสะอาด ค่าจัดสวน บำรุงสระว่ายน้ำและฟิตเนส ส่วนใหญ่แล้วต้องจ่ายค่าส่วนกลางล่วงหน้าตั้งแต่ 1 – 2 ปีขึ้นไป และสุดท้ายค่าธรรมเนียมในการติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้า และมิเตอร์น้ำประปาของบ้าน โดยมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 12,000 บาท
นอกจากคำนวณเรื่องค่าใช้จ่าย ที่จำเป็นต้องใช้สำหรับการซื้อบ้านแล้ว เรื่องสัญญาซื้อขาย ข้อตกลง ผู้ซื้อควรอ่านให้เข้าใจก่อนเซ็นทุกครั้ง เพื่อป้องกันความผิดพลาด และความเข้าใจผิดระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย สุดท้ายอย่าลืมตรวจเช็คความเรียบร้อยของบ้านรวมถึงเอกสารต่างๆ อย่างละเอียดก่อนโอนด้วย
สามารถติดตามข่าวสารอื่นๆได้ที่ แฟนเพจ ต้องขายบ้านหลังนี้ให้ได้ หรือช่องยูทูป สมองอสังหา และ หน้าเว็บอย่างเป็นทางการ คอร์สลงทุนในบ้านมือสอง
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *